เมนู

อรรถกถาฌคตมเถรคาถา


คาถาของท่านพระโคตมเถระ เริ่มต้นว่า สุขํ สุปนฺติ. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ เกิดใน
เรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี
บรรลุความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่งเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า มีใจเลื่อมใส ได้ถวาย
ผลอาโมทะ.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้วท่องเที่ยว
ไป ๆ มา ๆ อยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น เกิดในตระกูลพราหมณ์ กรุงราชคฤห์
ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า โคตมะ ในเวลาที่มีอายุได้ 7 ขวบ ทำ
เป็นคนตาพิการเที่ยวขอเงิน ได้ทรัพย์มาพันหนึ่ง เก็บทรัพย์นั้นไว้ในที่ ๆ
ปลอดภัย บำเพ็ญพรต ในเวลาที่มีอายุได้ 16- 17 ปี ถูกมิตรชั่วแนะนำไป
ในกามารมย์ ให้ของมีราคาหนึ่งพันนั้น แก่หญิงขายตัว (อาศัยรูปเลี้ยงชีพ)
คนหนึ่ง สูญเสียพรหมจรรย์ และเมื่อหญิงนั้นแสดงอาการคลายกำหนัด เพราะ
เห็นรูปแห่งพรหมจารีของเขา เป็นผู้มีรูปอิดโรยเหนื่อยหน่าย ด้วยการร่วม
หลับนอนเพียงคืนเดียวเท่านั้น นึกถึงความสูญเสียพรหมจรรย์ของตน และ
การเสียทรัพย์ ได้มีวิปฏิสารว่า เรากระทำกรรมอันไม่สมควรแล้ว. พระศาสดา
ทรงทราบเหตุสมบัติ และความฟุ้งซ่านแห่งจิตของเขา จึงแสดงพระองค์ในที่
ใกล้ ๆ เขา. เขาเห็นพระศาสดาแล้ว มีใจเลื่อมใสเข้าไปเฝ้าแล้ว พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่เขาแล้ว เขาฟังธรรมแล้วได้เป็นผู้มีจิตศรัทธา
บวช บรรลุพระอรหัต ในขณะที่ปลงผมเสร็จทีเดียว. สมดังคาถาประพันธ์
ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า

เราได้ถวายผลอาโมทะ แด่พระสัมพุทธเจ้าผู้มี
พระฉวีวรรณปานดังทองคำ ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
กำลังเสด็จดำเนินอยู่ในถนน ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้
เราได้ถวายผลไม่ใดในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น
เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้. เรา
เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า
เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็สหายผู้เป็นคฤหัสถ์คนหนึ่ง เข้าไปหาพระเถระผู้บรรลุพระอรหัต
แล้วยังเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขในฌาน ถามว่า อาวุโส ท่านเมื่อบวชได้ทำ
อย่างไรกะทรัพย์ ที่ได้มาเพราะขอเงิน. พระเถระฟังดังนั้นแล้ว ไม่ยอมบอก
ว่า เรากระทำกรรมชื่อนี้ ประกาศโทษในมาตุคาม เมื่อจะพยากรณ์พระ-
อรหัตผล ด้วยการชี้ถึงความที่ตนเป็นผู้มีราคะไปปราศแล้ว กล่าวคาถา 2 คาถา
ความว่า
มุนีเหล่าใด ย่อมไม่พัวพันในหญิงทั้งหลาย
มุนีเหล่านั้น ย่อมนอนหลับเป็นสุข สัจจะที่ได้ยาก
แสนยากในหญิงเหล่าใด หญิงเหล่านั้น อันบุคคลต้อง
รักษาทุกเมื่อแท้ ดูก่อนกาม เราประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อฆ่าท่าน บัดนี้ เราไม่เป็นหนี้ท่านอีก บัดนี้ เราไป
ถึงนิพพาน อันเป็นที่บุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขํ สุปนฺติ มุนโย เย อิตฺถีสุ น
พชฺฌเร
ความว่า มุนีเหล่าใด ไม่ผูกพันในหญิงทั้งหลาย ที่เกิดเป็นอารมณ์
หรือเกิดเป็นนิมิต ด้วยเครื่องผูกพันคือราคะ มุนีเหล่านั้นเป็นผู้มีตบะ มี
อินทรีย์อันสำรวมแล้ว ย่อมหลับเป็นสุข คืออยู่เป็นสุข. อธิบายว่า ทุกข์ย่อม
ไม่มีแก่มุนีเหล่านั้น. ก็บทว่า สุปนฺติ นี้ เป็นเพียงตัวอย่าง.

บทว่า สทา เว รกฺขิตพฺพาสุ ความว่า อันบุคคลพึงรักษา
ตลอดกาลทั้งปวง โดยส่วนเดียว. อธิบายว่า หญิงทั้งหลายแม้จะให้อยู่ใน
ปราสาทชั้นบนที่ปราศจากบุรุษถึง 7 ชั้น แม้จะเก็บรักษาไว้ภายใน (ห้อง)
ก็ไม่สามารถจะรักษาไว้ได้ เพราะเหตุนั้น หญิงเหล่านั้นจึงเป็นผู้ที่จะต้องเฝ้า
รักษาอยู่ตลอดเวลา ดุจแม่โคตัวกินข้าวกล้าเป็นอาหารฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง
หญิงเหล่านั้น ต้องเฝ้ารักษาตลอดเวลา เพราะความเป็นหญิงนอกใจสามี ด้วย
การเพิ่มให้ผ้าและเครื่องประดับเป็นต้น เพราะความเป็นหญิงหลายใจ. หรือ
ชื่อว่า ต้องเฝ้ารักษา เพราะความเป็นหญิงที่ต้องคอยถนอมน้ำใจ โดยการ
ปกปิดสภาพแห่งร่างกาย ด้วยระเบียบและของหอมเป็นต้น.
บทว่า ยาสุ สจฺจํ สุทุลฺลภํ ความว่า คำสัตย์ไม่สามารถเพื่อจะ
หาได้ในหญิงเหล่าใด อธิบายว่า ธรรมดาหญิงทั้งหลาย จะเข้าไปสู่กองไฟก็ได้
จะดื่มยาพิษก็ได้ จะนำศาสตรามาก็ได้ จะผูกคอตายก็ได้ แต่ไม่สามารถจะตั้ง
อยู่ในสัจจะได้ เพราะฉะนั้น พระเถระจึงแสดงความว่า มุนีทั้งหลาย เว้นหญิง
เห็นปานนี้ แล้วดำรงอยู่ ย่อมเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความสุขหนอ ดังนี้.
มุนีทั้งหลาย ยังผูกพันอยู่แม้ในหญิงทั้งหลายเห็นปานนี้ เพราะยัง
ละกามใดไม่ได้ บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงถึงความที่แห่งกามนั้น อันตน
ละได้แล้วด้วยดี และความเป็นผู้ไม่มีความปรารถนาโดยส่วนเดียว จงกล่าว
คาถาที่ 2 ไว้.
บทว่า วธํ จริมฺห เต กามา ความว่า ดูก่อนกามผู้เจริญ เรา
ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อฆ่าท่าน คือ ประพฤติถอนรากโดยส่วนเดียว ด้วย
อริยมรรค. ปาฐะว่า เอวํ จริมฺหเส ดังนี้ก็มี. ความก็ว่า เราได้ประพฤติ
มรรคพรหมจรรย์เพื่อฆ่า คือเพื่อประหาร.

บทว่า อณนา ทานิ เต มยํ ความว่า ดูก่อนกาม บัดนี้ คือ
จำเดิมแต่เวลาที่เราได้บรรลุพระอรหัต เราไม่เป็นหนี้ท่าน คือเราไม่แบกหนี้
ของท่าน (ต่อไป). อธิบายว่า ผู้ที่ยังไม่ปราศจากราคะ ย่อมเป็นดุจแบกหนี้
ของกามไว้ เพราะยังเป็นไปในอำนาจของราคะ ส่วนผู้ที่ปราศจากราคะ ก้าว
ล่วงกามนั้นได้แล้ว ประกอบไปด้วยความเป็นอิสระแห่งจิตใจอย่างสูง เพราะ
เหตุที่ไม่ได้เป็นหนี้นั่นแล เราจึงชื่อว่า ไปถึงพระนิพพาน อันเป็นที่ ๆ บุคคล
ไปแล้วไม่เศร้าโศก ได้แก่ไม่ต้องเศร้าโศก เพราะไม่มีเหตุแห่งความโศกเศร้า
โดยประการทั้งปวง อันมีการไปในพระนิพพานเป็นเหตุ. อธิบายว่า บัดนี้
เราถึง คือ ถึงโดยลำดับ ซึ่งอนุปาทิเสสนิพพานั้นนั่นแล.
จบอรรถกถาโคตมเถรคาถา

10. วสภเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระวสภเถระ


[267] ได้ยินว่า พระวสภเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
บุคคลผู้ลวงโลก ย่อมฆ่าตนก่อน ภายหลังจึงฆ่า
ผู้อื่น. บุคคลผู้ลวงโลกนั้น ย่อมฆ่าตนได้ง่ายดาย
เหมือนนายพรานนกที่หาอุบายฆ่านก และทำตนให้ได้
รับความทุกข์ในอบายภูมิ ฉะนั้น บุคคลผู้ลวงโลกนั้น
ไม่ใช่พราหมณ์ เพียงแต่มีเพศเหมือนพราหมณ์ ใน
ภายนอกเท่านั้น เพราะพราหมณ์มีเพศอยู่ภายใน
บาปกรรมทั้งหลายมีในบุคคลใด บุคคลนั้นเป็นคนดํา
ดูก่อนท้าวสุชัมบดี ขอพระองค์จงทราบอย่างนี้.

จบวรรคที่ 1